8 แบรนด์รถจีน พร้อมรุ่นย่อย
BYD

credit : bydeurope.com
สำหรับ BYD หรือ Bulid Your Dream อุตสหากรรมยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนได้ก่อตั้งปี 1995 โดย Wang Chuanfu ซึ่งเริ่มต้นมาจากบริษัทผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน เมื่อปี 2002 บริษัท BYD เข้าซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูกแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “BYD Auto”
โดยในช่วงแรกยังคงผลิตรถยนต์น้ำมัน อิงตามรถยนต์ของญี่ปุ่นอยู่ จนกระทั่งในปี 2008 ทางค่ายได้มีการผลิตรถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก ด้วยความชำนาญที่ทางบรษัทได้มีการผลิตด้านแบตเตอรี่มาก่อน ตั้งแต่นั้นมาจึงทำให้ทางค่ายเริ่มได้รับความสนใจในแวดวงรถยนต์โลก
ในปัจจุบันรถยนต์ของ BYD มีการวางจำหน่ายตั้งแต่รถขนาดเล็ก ขนาดคอมแพกต์ ไปจนถึงรถขนาดกลาง และยังมีทั้งรถแฮทช์แบ็ก ซีดาน เอ็มพีวี เอสยูวี รถไฟฟ้า ไฮบริด และรถที่ใช้เครื่องยนต์ปกติ ทำให้สามารถทำกำไรได้จากตลาดเกือบทุกทวีปทั่วโลก จึงทำให้บรษัทมีมูลค่าสูง 4.7 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่ Tesla และ Toyota เท่านั้น
ถึงตอนนี้ BYD ได้มีการทำตลาดรถยนต์หลายสิบรุ่น ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน โดยจุดเด่นก็คือ การตั้งชื่อรุ่นให้เหมือนกับราชวงศ์ของจีน เช่น ฮั่น, ชิง, ซ่ง, ถัง และหยวน เป็นต้น ส่วนในประเทศไทย BYD มีการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 1 รุ่นคือ BYD e6 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ Mini-Van นั่นเองค่ะ
SAIC

credit : www.saicmotor.com
มาต่อกันที่ SAIC หรือ Shanghai Automotive Industry Corporation ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่ของจีน ที่มีการก่อตั้งเมื่อทศวรรษที่ 40 ก่อตั้งโดย Chen Hong โดยทางบริษัทมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมีการเริ่มต้นจากธุรกิจโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการผลิตรถยนต์จำหน่ายแทนในช่วงทศวรรษที่ 60s และปัจจุบันผลิตรถยนต์ครอบคลุมทั้งเครื่องสันดาปภายใน และรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับ แบรนด์ SAIC จะมีความแตกต่างกับ BYD ตรงที่จะมีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยมีอีก 3 ราย คือ Changan Automobile, FAW Group และ Dongfeng Motor Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของเหมือนกัน นอกจากนี้ SAIC ยังทำตลาดภายใต้แบรนด์ย่อย ไม่ได้ใช้ชื่อตัวเอง คล้ายกับกรณีของ GM จากสหรัฐอเมริกา
โดยชื่อแบรนด์ก็มีตั้งแต่ Maxus, Roewe, MG รวมไปถึงการรับเป็นผู้ผลิตให้กับรถยนต์ต่างประเทศเพื่อขายในจีน เช่น กลุ่ม GM และ Volkswagen นอกจากนี้ SAIC ยังเริ่มออกไปทำตลาดต่างประเทศ โดย SAIC มีมูลค่ากิจการ 33,000 ล้านหยวน (29 เม.ย. 2021) ยอดขาย 45,000 ล้านหยวน และกำไรจากการดำเนินงาน 2,872 ล้านหยวน
ในด้านการตลาดของไทย SAIC ได้ร่วมมือกับกลุ่ม CP เพื่อทำตลาดรถยนต์แบรนด์ MG ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์น้องใหม่ของตลาดไทยที่ตีตลาดได้ และได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม SUV ที่สามารถมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งได้ รวมถึงการกดราคารถยนต์ไฟฟ้าล้วนลงมาต่ำกว่า 1 ล้านบาทก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างชื่อให้กับ MG
จากจุดนี้ทำให้กลายมาเป็นจุดเด่นของ SAIC โดยเฉพาะในเรื่องการประกอบยานยนตร์ ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา ทำให้เหล่าแบรนด์รถยนต์ระดับโลกจึงเข้ามาร่วมทุนและผลิตยนต์ส่งออกขาย และช่วยผลักให้ SAIC เติบโต มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนสามารถผลิตรถยนต์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของจีน และอันดับ 12 ของโลก ไม่ว่าจะเป็น รถน้ำมัน รถไฟฟ้า ทั้งระดับธรรมดาและพรีเมี่ยม รวมไปถึงรถบัส รถบรรทุก รถเมล์ ที่มีการส่งออกไปทั่วโลกด้วย
MG

credit : www.mgcars.com
ในส่วนของ MG นั้นถือว่าเป็นรถยนต์ระดับตำนานจากอังกฤษ ที่ให้กำเนิดโดย William R Morris ตั้งแต่ปี 1924 และได้มีการดำเนินกิจการธุรกิจภายใต้ชื่อตนเองและชื่อบริษัท Morris Motors Limited จนถึงปี 1952 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมารถ MG ได้เปลี่ยนเจ้าของหลายครั้ง จาก Morris มาสู่ British Motor Corporation, British Motor Holdings, British Leyland, Rover Group, British Aerospace, BMW, MG Rover Group และในที่สุดปี 2005 ก็ถูกซื้อโดยบริษัทจีน Nanjing Automobile Group (ซึ่งต่อมารวมเข้ากับ SAIC – Shanghai Automotive Industry Corporation ในปี 2008 ทำให้ปัจจุบัน MG เป็นของ SAIC)
หลังจากการเปลี่ยนผ่านมาหลายบริษัท MG ที่อยู่ในแดนจีนก็ได้เริ่มการผลิตใหม่ในปี 2007 จนนกระทั่งวันที่ 26 มิถุนายน 2011 MG ถึงได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ MG 6 อย่างเป็นทางการ นับแต่นั้น MG ก็เข้าสู่ยุคใหม่ ได้เริ่มบุกตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง และยังมีรถรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดหลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในคราวนี้ MG ไม่ได้เน้นเฉพาะในอักฤษและในอีกไม่กี่ประเทศเท่านั้น แต่ MG ยังได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ เช่น จีน, อินเดีย, ไทย และกลุ่มประเทศอาเซียนหลาย ๆ ประเทศด้วย
สำหรับ MG ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์เจ้าแรกที่มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากจีนในไทยนานถึง 7 ปี โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง เอสเอไอซี มอเตอร์ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ซึ่งได้เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา มีกำลังการผลิตมากกว่า 100,000 คันต่อปี โดยมีรถยนต์จำหน่าย 5 รุ่น ได้แก่ MG HS, MG ZS, MG5, MG3, MG Extender และยังมีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่าย 2 รุ่น คือ MG ZS EV และ MG EP โดย MG นั้นเป็นรถยนต์ที่มีระบบเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษในทุกรุ่น ๆ อีกด้วย
Great Wall Motor

credit : www.gwm-global.com
สำหรับรถยนต์จากค่ายนี้ก็มีรุ่นที่โดดเด่นก็คือ ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์สุดน่ารักที่มาในสไตล์วินเทจ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ทำให้หลาย ๆ คนหันมาสนใจรถยนต์จากจีนมากขึ้น และยังเป็นการเปิดตัวตลาดรถยนต์ของจีนได้กว้างขึ้นด้วย สำหรับ GWM นั้นได้ก่อตั้งเมื่อปี 1984 โดย Wang Fengying ซึ่งมีการเริ่มต้นจากการผลิตรถบรรทุก ที่มีจุดเด่นด้านความทนทาน จากนั้นจึงต่อยอดไปสู่รถกระบะและได้รับความนิยมจนตีตลาดในจีนแตก จนในปี 1998 ก็ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถปิคอัพ ในจีนได้สำเร็จ ทำให้ขยายไปสู่ประเภทรถยนต์อื่น ๆ ด้วย เช่น SUV
ในช่วงทศวรรษ 90s รถกระบะของ GWM ได้ถูกส่งออกไปยังตะวันออกกลาง จน GWM เริ่มตั้งตัวได้ และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อปี 2003 และหลังจากนั้นอีก 10 ปี ได้ก่อตั้งแบรนด์ Haval เพื่อใช้ทำตลาดรถ SUV โดยเฉพาะ ครอบคลุมทุกขนาด และทุกความต้องการ
โดยในปัจจุบันทาง GMW ก็ได้ผลิตรถยนต์ออกมาหลายแบรนด์ โดยมีรถยนต์ 4 แบรนด์ที่ได้รับความนิยมและหลาย ๆ คนอาจจะเห็นบ่อย ๆ ได้แก่ HAVAL เป็นแบรนด์รถยนต์ประเภท SUV ยอดขาดสูงสุดในจีน 11 ปีซ้อน, ORA แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ที่เกิดจากการลงทุนวิจัยและพัฒนาของบริษัทนานกว่า 10 ปี, WEY แบรนด์รถยนต์ Smart SUV เป็นแบรนด์เจาะกลุ่มตลาดรถพรีเมี่ยม หรูหรา คุณภาพสูง และ GWM POER แบรนด์รถกระบะถึกทน ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ GMW ตั้งแต่สมัยบุกเบิก
ซึ่งถ้าหากถามว่ารถยนต์จากค่ายนี้มีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง ก็คงต้องบอกว่า เทคโนโลยีของจีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ทางค่ายได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านยานยนตร์ให้สามารถใช้ไฟฟ้าได้ 100 % อีกทั้งยังมีราคาที่จับต้องได้ บวกกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมากมายและดีไซน์อันล้ำสมัย ทำให้รถยนต์จากแดนมังกรค่ายนี้ก็เป็นอีกค่ายที่น่าจับตามองในบ้านเราเป็นพิเศษค่ะ