https://b594f703d7df209e7b63075bf850856f.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-41/html/container.html
ด้วยประชากรที่มีจำนวนมากไม่แพ้จีน เพียงแต่เรื่องของรายได้ต่อหัวของประชาชนยังค่อนข้างต่ำ จึงทำให้อินเดียมักจะถูกมองข้ามเสมอ ทั้งที่ในอดีตตลาดแห่งนี้มักจะถูกจับตามองจากผู้ผลิตรถยนต์ในฐานะของตลาดเกิดใหม่ที่มีกำลังซื้อรออยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ชื่อของอินเดียกลับมาหอมหวนอีกครั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และซูซูกิ คือ หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่เป็นเจ้าตลาดที่นี่ พร้อมกับเปิดเผยแผนการล่าสุดในการให้อินเดียเป็นหนี่งในยุทธศาสตร์การรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าของพวกเขา
ซูซูกิ กับการผงาดครองตลาดอินเดีย
ในขณะที่หลายแบรนด์เริ่มเบนเข็มออกจากอินเดียด้วยเหตุผลในเรื่องของรายได้ของประชากรต่อหัวที่ต่ำ และทิศทางในเชิงเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนจีน ดูเหมือนว่า ซูซูกิ จะเป็นบริษัทรถยนต์เพียงรายเดียวที่มองเห็นพื้นที่ให้กับตัวเองในการสอดแทรกเข้าไป และดูเหมือนว่าผลิตภัณฑ์ที่พวกเขามีกับความต้องการของตลาดจะสอดคล้องกัน
จริงๆ แล้วในตลาดอินเดียมีเจ้าถิ่นคือ รถยนต์แบรนด์พื้นที่ทำตลาดอยู่แล้ว และการเข้าไปของ ซูซูกิ คือ การจับมือกับแบรนด์อย่าง Maruti Udyog ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลอินเดียตั้งแต่ปี 1981 โดยทั้งคู่ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อว่า Maruti Suzuki India หรือ MSIL ขึ้นมาเมื่อปี 2001
ช่วงเวลานั้น รัฐบาลอินเดียเองก็ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ และสร้างงานให้กับคนรอบพื้นที่เขตโรงงาน เพื่อลดอัตราการว่างงานและเป็นการเพิ่มงานให้คนในท้องถิ่นด้วย ความร่วมมือของทั้งคู่จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทในประเทศและแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งต่างจาก ฮุนได แบรนด์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งมาแบบเดี่ยวๆ ไม่สนใจการร่วมทุน
ความสำเร็จของ Maruti Suzuki คือ ความลงตัวของโปรดักต์และสภาพตลาด ที่นั่นต้องการรถยนต์ไซส์เล็ก และ ซูซูกิ คือ เจ้าพ่อในตลาดรถยนต์ K-Car ของญี่ปุ่น และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ไซส์นี้ รถยนต์ของซูซูกิ สามารถตอบสนองการขับขี่รถของผู้คนในอินเดียได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ารุ่นที่ขายดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น รุ่น Swift ที่มียอดขายมากถึง 172,671 คัน ในปี 2020 ก่อนที่ Wagon R จะขยับขึ้นมาแทนที่ด้วยยอดขายต่อปีถึง 200,177 คันในปี 2024 ที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือ 3 อันดับแรกของรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในอินเดียประจำปี 2024 คือ รถยนต์จากค่าย Maruti Suzuki และมีถึง 6 รุ่นติดอยู่ในอันดับ Top 10
ปรับแผนพร้อมเดินหน้าครั้งใหม่
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในปี 2024 ทั้งคู่เพิ่งอัพเกรดยอดผลิตรถยนต์ด้วยการก้าวข้ามเลข 2 ล้านคัน แต่ดูเหมือนว่า ซูซูกิ จะไม่พอใจแค่นั้น และมีความพยายามครั้งใหม่ในการวางอินเดียให้เป็นแกนกลางในแผนระยะกลางของตัวเอง
Toshihiro Suzuki ประธานคนปัจจุบันของ SMC หรือ Suzuki Motor Corporation ได้กล่าวถึงแผนการระยะกลาง หรือ Mid-Term Management Plan ในช่วงระยะเวลา 6 ปี (2026-2031) ของพวกเขาเกี่ยวกับอินเดีย ด้วยการวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานที่มีอยู่ รวมถึงการขยายโรงงานเพื่อให้มีตัวเลขการผลิตอยู่ที่ 4 ล้านคันต่อปีภายในปี 2031 ‘เราคาดหวังให้ที่นี่เป็นทั้งฐานการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอินเดีย และการส่งออก’ ซูซูกิ กล่าว
ยอดการผลิตรถยนต์ของ ซูซูกิ ในอินเดียแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.06 ล้านคันในปี 2024 ซึ่งคิดเป็น 62.5% ของยอดการผลิตทั้งหมด และมากกว่าจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นถึงสองเท่า หากบริษัทบรรลุเป้าหมายในการผลิต 4 ล้านคันต่อปีในอินเดีย ยอดการผลิตดังกล่าวเพียงอย่างเดียวจะเกินปริมาณการผลิตทั่วโลกของ นิสสัน ซึ่งอยู่ที่ 3.14 ล้านคันในปี 2024 เลยทีเดียว
อินเดียคือศูนย์กลางใหม่แห่งการผลิต
แน่นอนว่าตามแผนการ ซูซูกิ ตั้งเป้าผลิต 4 ล้านคันภายในปี 2031 แต่เอาเข้าจริงๆ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในอินเดียที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ในปี 2030 คือ การขยับยอดขายรถยนต์ในอินเดียให้เพิ่มขึ้นเป็น 2.54 ล้านคัน ดังนั้น ส่วนต่างราวๆ 1.5 ล้านคันจะไปไหน ?
“อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดที่ ซูซูกิ ควรให้ความสำคัญ เราจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมผู้คนกว่า 1 พันล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบขนส่งได้… เราจะเสริมสร้างโมเดลการเริ่มต้นที่กลุ่มคนรายได้ปานกลางที่กำลังเติบโตเลือกซูซูกิ เป็นรถคันแรก” ซูซูกิ กล่าว
ตามแผนการ Mid-Term Management Plan ตลอดช่วง 5 ปี ซูซูกิ จะเทงบลงทุนในอินเดีย 1.2 ล้านล้านเยน หรือ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 60% ของการลงทุนทั้งหมด 2 ล้านล้านเยน (ราว 448,000 ล้านบาท) ที่วางแผนไว้สำหรับระยะเวลา 6 ปี โดยการลงทุนในอินเดียของ ซูซูกิ จะแบ่งเป็น 550,000 ล้านเยนสำหรับการเสริมกำลังการผลิต รวมถึงการก่อสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งก็คือ การสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีการประกาศออกมาเมื่อต้นปี 2024 ซึ่งโรงงานนี้อยู่ที่รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ 1,000,000 คัน และอีกส่วนคือการขยายไลน์การผลิตแห่งที่ 4 ของโรงงาน SMG ตรงนี้จะเพิ่มยอดการผลิตได้อีก 250,000 คันต่อปี
นอกจากนั้นซูซูกิ ยังได้จัดสรร 400,000 ล้านเยน สำหรับการเตรียมการผลิตยานยนต์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์พลังไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก ซึ่งสอดรับกับแผนที่เคยประกาศออกมาเมื่อปี 2023 ซึ่งซูซูกิ จะผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าร่วมกับ Maruti จำนวน 6 รุ่น ก่อนจะปรับเหลือ 4 รุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Maruti e Vitara จะเป็นรถ EV ราคาประหยัดที่จะมาแข่งกับ Tiago EV และ YMC MPV ซึ่ง e Vitara มีแผนเข้ามาเปิดตัวในไทยช่วงปลายปีนี้ และจะมีจำหน่ายในยุโรปและญี่ปุ่นด้วย
“e VITARA คือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV รุ่นแรกของ ซูซูกิ ซึ่งเราได้ศึกษาความต้องการของลูกค้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างละเอียด และเราจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างระบบนิเวศสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในอินเดีย รวมถึงสถานีชาร์จ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้กังวลในการใช้งาน สำหรับ e VITARA เป็นไปตามกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี 10 ปีที่เราประกาศไปเมื่อไม่นาน” ประธานของ ซูซูกิ กล่าว
สำหรับส่วนต่างอีก 1.5 ล้านคันโดยประมาณ มีการประเมินว่า ซูซูกิ จะใช้อินเดียเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์บางประเภทที่เหมาะสมกับตลาดเอเชีย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน โดยการส่งผ่านรถยนต์สำเร็จรูปทั้งคันหรืออาจจะรวมถึงชิ้นส่วนจะส่งไปยังอินโดนีเซียที่ถือว่าเป็นอีกศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของ ซูซูกิ และมีข้อตกลงในเรื่องการยกเว้นภาษีกับอินเดีย จากนั้น ค่อยกระจายออกสู่ประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งก็รวมถึงไทย เพื่อใช้ประโยชน์การเป็น AFTA ซึ่งการนำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคันจากอินเดียเพื่อมาขายในประเทศแถบอาเซียนเลยจะไม่อยู่ในเกณฑ์การยกเว้นภาษี
ถือเป็นการเดินหมากที่น่าสนใจ และเรียกว่าเป็นการปรับตัวที่น่าจะช่วยทำให้ซูซูกิ สามารถอยู่รอดในอุตสาหกรรมรถยนต์ยุคใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงได้